
Private PPA คืออะไร? (สัญญาซื้อขายไฟฟ้าแบบลงทุนน้อย แต่ประหยัดสูง)
Private PPA คือรูปแบบสัญญาซื้อขายไฟฟ้าจากระบบโซลาร์เซลล์ ระหว่าง ผู้ลงทุน (นายทุน) กับ ผู้ใช้ไฟฟ้า (องค์กรหรือโรงงาน) โดยบริษัทผู้ใช้ไม่ต้อง
ลงทุนเองเลย ผู้ลงทุนจะติดตั้ง ดูแล และบำรุงรักษาระบบโซลาร์เซลล์ฟรี ขณะที่ผู้ใช้จะซื้อไฟฟ้าในราคาที่ถูกลงจากการไฟฟ้า ตามเงื่อนไขในสัญญา เช่น ส่วนลด 10–50% ตลอดระยะเวลาที่กำหนด เช่น 7–20 ปี แล้วเมื่อครบสัญญา ระบบโซลาร์เซลล์จะถูกโอนเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ใช้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมอีก

Private Power Purchase Agreement (Private PPA)
-
เป็นรูปแบบที่ผู้ประกอบการ ไม่ต้องลงทุนเลย (ลงทุน 0 บาท) เนื่องจากมีบริษัทนายทุนเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์ การบำรุงรักษา และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
-
เงื่อนไขคือ บริษัทผู้รับการติดตั้งจะต้องทำสัญญาซื้อไฟฟ้าจากนายทุนเป็นระยะเวลา 15–20 ปี โดยนายทุนจะจำหน่ายไฟฟ้าในราคาต่ำกว่าการไฟฟ้าสูงสุด ถึง 40% ของอัตราปกติ และเมื่อครบสัญญา นายทุนจะโอนระบบโซลาร์เซลล์ทั้งหมด มูลค่ามากกว่า 12 ล้านบาท ให้แก่บริษัทโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใด ๆ ซึ่งทำให้บริษัทสามารถใช้ไฟฟ้าฟรีได้ เสมือนเป็นผู้ลงทุนเองตั้งแต่แรก

ตัวอย่างการประหยัดจาก Private PPA
-
ตัวอย่างเช่น บริษัทลงทุน (นายทุน B) ติดตั้งระบบ 1 MW ให้บริษัท A แบบฟรี โดยให้ A ซื้อไฟฟ้าในราคา ลดลง 30% จากเรทปกติเป็นเวลา 10 ปี ถ้าแต่ละเดือนประหยัดได้ 160,000 บาท ปีหนึ่งประมาณ 1.9–2 ล้านบาท เมื่อครบสัญญา สามารถประหยัดสูงสุดถึงกว่า 100 ล้านบาทในระยะ 30 ปี wise-energy.co.th
-
อีกตัวอย่างจากบทความปี 2023 แสดงให้เห็นว่า หากติดตั้งระบบ 1 MW และลดค่าไฟ 30% เป็นเวลา 15 ปี รายได้ประหยัดสะสมอาจสูงถึง 29.2 ล้านบาท และหากใช้งานต่อจนครบ 30 ปี ประหยัดได้มากกว่า 112 ล้านบาท
เปรียบเทียบการติดโซลาร์เซลล์เองกับ Private PPA

โดยทั่วไปเมื่อทำการติดตั้งโซลาร์เซลล์เพื่อใช้งานเองกระแสไฟฟ้าตรง (DC) ที่ได้จากแผงซึ่งแปลงมาจากพลังงานแสงอาทิตย์ จะถูกส่งไปยังอินเวอร์เตอร์ (Inverter) เพื่อแปลงเป็นกระแสไฟฟ้าสลับ (AC) ที่สามารถใช้งานกับเครื่องใช้ไฟฟ้าทั่วไปได้ จากนั้นไฟฟ้าจะถูกส่งเข้าสู่ตู้ MDB หรือ Electric Box เพื่อกระจายไปยังส่วนต่าง ๆ ภายในโรงงาน ในขณะเดียวกัน ไฟฟ้าจากการไฟฟ้า (Grid) ก็จะไหลผ่านมิเตอร์เข้าสู่ตู้ MDB เช่นกัน โดยระบบจะใช้ไฟจาก
โซลาร์เซลล์เป็นลำดับแรก และหากโซลาร์เซลล์ผลิตไฟไม่เพียงพอ ก็จะดึงไฟจากการไฟฟ้ามาชดเชยทันที ทั้งนี้มิเตอร์ไฟฟ้าจะบันทึกปริมาณไฟที่ดึงจากการไฟฟ้าเพื่อนำไปคำนวณเป็นค่าไฟประจำเดือนของโรงงาน

แต่ในกรณีของ Private PPA จะมีความแตกต่างเล็กน้อย เนื่องจากโรงงานต้องซื้อไฟฟ้าจากทั้งการไฟฟ้า และจากบริษัทนายทุนที่ติดตั้งโซลาร์เซลล์บนหลังคา ดังนั้น บริษัทนายทุนจึงต้องติดตั้ง มิเตอร์ไฟฟ้าแยกต่างหาก ไว้ก่อนที่กระแสไฟจากโซลาร์เซลล์จะเข้าสู่ตู้ MDB เพื่อวัดปริมาณการใช้ไฟจากโซลาร์เซลล์ โดยเฉพาะจากนั้นจึงนำข้อมูลหน่วยไฟที่ใช้ไปคำนวณค่าไฟฟ้าในอัตราที่ถูกกว่ าการไฟฟ้าตามเงื่อนไขสัญญา Private PPA
ทำ Private PPA หรือ ติดตั้งเอง หรือขอสินเชื่อจากธนาคารดีกว่ากัน

หลังจากได้เห็นตัวอย่างการทำ Private PPA หลายคนคงเริ่มมองภาพออกแล้วว่า โซลาร์เซลล์สามารถช่วยลดค่าไฟได้มากเพียงใด จึงเกิดคำถามว่า หากลงทุนติดตั้งเองหรือกู้เงินจากธนาคารมาดำเนินการ จะคุ้มค่ากว่าหรือไม่ เพราะจะได้รับประโยชน์จากการประหยัดค่าไฟเต็มจำนวนตั้งแต่วันแรกที่ระบบเริ่มทำงาน คำตอบของคำถามนี้ไม่มีถูกหรือผิดตายตัว ทุกอย่างขึ้นอยู่กับบริบทและความพร้อมของแต่ละบริษัท เช่น บริษัทข้ามชาติหลายแห่งมีนโยบายไม่ลงทุน ก้อนใหญ่ การเลือกใช้ Private PPA จึงเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด ขณะที่บริษัทที่มีเงินทุนหมุนเวียนเพียงพอ อาจเลือกทยอยติดตั้งโซลาร์เซลล์เป็นเฟส ๆ ตามสภาพคล่อง
ขั้นตอนการทำ Private PPA

-
ความต้องการของผู้ใช้ไฟ บริษัท A ต้องการลดค่าไฟด้วยโซลาร์เซลล์ แต่ไม่ต้องการลงทุนเอง จึงติดต่อบริษัทนายทุน B ที่พร้อมจะเป็นผู้ลงทุนแทน
-
การประเมินความเหมาะสมบริษัทนายทุน B จะขอข้อมูลสำคัญของบริษัท A เช่น ทุนจดทะเบียน, ผลประกอบการย้อนหลัง, สถานะการเงิน, ข้อมูลการใช้ไฟฟ้าย้อนหลังจาก AMR Meter, และสภาพพื้นที่ติดตั้ง เพื่อประเมินว่าบริษัท A เหมาะสมต่อการติดตั้งและมีศักยภาพดำเนินธุรกิจต่อได้เกิน 15 ปี
-
การเจรจาสัญญา Private PPA หากผ่านการประเมิน จะเข้าสู่การตกลงรายละเอียดสัญญา โดยเน้น 3 ประเด็นหลัก ได้แก่ อายุสัญญา (เช่น 15–20 ปี) ส่วนลดจากอัตราค่าไฟฟ้าของการไฟฟ้า (เช่น 20–40%) ผลประโยชน์เพิ่มเติม เช่น สิทธิใน Carbon Credit หรือการโอนระบบให้ ฟรีหลังหมดสัญญา
-
การติดตั้งและดูแลระบบเมื่อสัญญาเสร็จสิ้น บริษัทนายทุน B จะว่าจ้างบริษัทติดตั้งโซลาร์เซลล์ (EPC) หรือบริษัท C มาดำเนินการติดตั้งให้กับบริษัท A และเริ่มจำหน่ายไฟฟ้าตามสัญญา ระหว่างอายุสัญญา บริษัท C จะเป็นผู้ดูแลระบบทั้งหมด ตั้งแต่การตรวจสอบ บำรุงรักษา ทำความสะอาดไปจนถึงการแก้ไขปัญหา เพื่อให้ระบบผลิตไฟฟ้าได้ตามมาตรฐาน